Business Object แนวทางต่อยอดจาการทำ BW
Business Object : BO ถือว่าเป็นอีก Product ที่ทาง SAP ได้ทำการซื้อกิจการมาไว้เป็นเครื่องมือช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำ BI ของ SAP และเพื่อนำมาต่อยอดของการใช้งาน ต่อจาก BW หรือ BI ให้ดียิ่งขึ้น
Tool BI ของ Business Object นับว่าเป็นเครื่องที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพของการเรียกใช้รายงานสรุป หรือเพื่อการวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยลักษณะการทำงานนั้นจะเป็นเครื่องมือที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อกับฐานข้อมูลที่ใช้งานอยู่ ได้โดยตรง ไม่ว่าจะเป็นฐานข้อมูลหลักจากการใช้งานทางธุรกรรมต่างๆ หรือ ฐานข้อมูลที่ผ่านการทำ ETL จนได้เป็น Data Warehouse เพื่อใช้ในการเรียกใช้รายเพื่อการตัดสินใจสำหรับพนักงาน และผู้บริหาร
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าการเลือกใช้งาน Business Object จะขึ้นอยู่กับความเหมาะสมที่จะนำมาใช้ เช่น องค์กรที่มีการทำ Data Warehouse อยู่แล้ว ก็จะสามารถทำให้การนำ BI มาใช้เพิ่มเติม มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะจะได้ข้อมูลที่มีการ Analysis แล้ว นับว่าเป็นการต่อยอดในการเรียกใช้รายงานสรุป และวิเคราะห์ข้อมูลได้เป็นอย่างดี เช่น การพยายกรณ์การขาย การศึกษาพฤติกรรมการใช้งาน หรือการเลือกซื้อสินค้าของลูกค้า เป็นต้น
โดย Business Object จะมีการแสดงผลแบบ Visualization ที่สวยงาม เช่น แสดงผลเป็นข้อมูลกราฟ เปรียบเทียบ เป็นต้น และง่ายต่อการใช้งาน สามารถสร้างหรือแก้ไข การเรียกใช้รายงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถเรียกใช้ดูรายละเอียดข้อมูลเจาะลึกลงไป แบบ Drill Down และ Roll Up และได้แบบหลายมิติ Multi Dimension ( ลักษณะการทำงานของ Business Object จะเป็นเหมือนโปรแกรม Cognos แต่ Business Object ถือว่าเป็นอีก Product นึงที่อยู่ภายใต้ SAP ดังนั้น องค์กรที่มีการใช้ ERP SAP อยู่แล้ว และต้องการเครื่องมือที่ง่ายต่อการเรียกใช้รายงานสรุป หรือวิเคราะห์ข้อมูลแบบได้อย่างละเอียด และมีการต่อยอดจากการติดตั้ง Data Warehouse จึงเป็นอีกทางเลือกนึงที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งทางธุรกิจให้มีความเท่าเทียมกัน)
รายละเอียดการเชื่อมต่อทางนิค สามารถเชื่อมต่อได้กับฐานข้อมูลชั้นนำต่างๆ อาทิ เช่น Oracle , Microsoft SQL Server , DB2 , Informix เป็นต้น
ถือว่าเป็นเครื่องมือที่ทำงานเกี่ยวกับ Business Intelligence Tools : BI โดยเฉพาะ มีทั้งรูปแบบที่ทำงานผ่าน Desktop และ Web Intelligence แถมยังสามารถนำข้อมูลที่เป็นแบบ Unformat มาใช้งานได้ เช่น Excel เป็นต้น
ซอฟต์แวร์โซลูชั่น BI มีความสามารถในการปรับเปลี่ยนและพัฒนาข้อมูลที่มีความหลากหลายขององค์กร เป็นแนวทางในการแก้ปัญหาและสร้างประโยชน์สูงสุดด้วยการอำนวยความสะดวกในการวิเคราะห์ข้อมูล การ ใช้ข้อมูลร่วมกันระหว่างพนักงานในองค์กร รวมทั้งลูกค้า ซัปพลายเออร์และพันธมิตรต่างๆ นอกจากนี้ยังเป็นเครื่อง มือที่ช่วยในการพัฒนาศักยภาพในการทำงาน และสร้าง ความสัมพันธ์กับลูกค้า อาทิ ERP, CRM เพื่อให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับผู้บริหารทุกระดับ
แนวทางการทำของ Business Object
การพัฒนาโปรแกรม
บทความเกี่ยวกับ การบริหารงานโครงการ การบริหารการเปลี่ยนแปลง การบริหารความเสี่ยง การพัฒนาระบบสารสนเทศ การวิเคราะห์และออกแบบระบบ เทคนิคการแก้ไขปัญหา
วันพุธที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2552
วันอังคารที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2552
สรุปคำสั่งที่สำคัญของ SQL สำหรับ ORACLE
1. การเปลี่ยนชื่อของ Column = as “______”
2. การต่อข้อมูลของ 2 columns = ____ ||____
3. การต่อข้อมูลของ 2 columns และมีคำคั่นกลาง = ____ || ‘___’ || ____
4. การแสดงข้อมูลของแถวที่ซ้ำกัน ให้แสดงออกมาเพียงแถวเดียว = select distinct _______
5. การใช้ where ต้องอยู่หลัง from เสมอ และสมารถมีเงื่อนไขต่อไปได้
6. เงื่อนไขที่สามารถใช้ร่วมกับ where ได้คือ = , > , >= , < , <= , <>
7. เงื่อนไขที่สามารถใช้ร่วมกับ where ได้อีกคือ between ____ and ____
เงื่อนไขที่สามารถใช้ร่วมกับ where ได้อีกคือ not between ____ and ____
8. เงื่อนไขที่สามารถใช้ร่วมกับ where ได้อีกคือ in ( __ , __ , __ )
9. เงื่อนไขที่สามารถใช้ร่วมกับ where ได้อีกคือ like ‘___’
10. การใช้ AND , OR , NOT หลังจากการใช้ where เพื่อใช้เลือกแบบลงลึกในรายละเอียดมากชึ้น
11. การใช้ NOT หลัง where ส่วนมาก จะใช้ในลักษณะนี้ where job_id not in ('IT_PROG',
'ST_CLERK', 'SA_REP') เป็นต้น
12. การเรียงลำดับโดยการใช้ Order by คือจาก น้อยไปมาก
13. การเรียงลำดับโดยการใช้ Order by ____ desc คือจาก มากไปน้อย
14. การเรียงลำดับสามารถทำได้ หลาย ๆ column โดยใช้ , คั่น
15. concat ต่อตัวอักษร เช่น select concat( first_name , job_id)
16. substr เลือกตัดเอาเฉพาะตัวอักษรที่เราต้องการ เช่น where substr ( job_id , 4 ) = ‘REP’
17. length เป็นการนับจำนวนตัวอักษร เช่น length ( last_name )
18. instr เป็นการนับว่าตัวอักษรนี้อยู่ตำแหน่งที่เท่าไร เช่น instr ( last_name , ‘a’ )
19. lpad เป็นการเติมตัวอักษรทางซ้ายให้ครบตามต้องการ เช่น select lpad( first_name , 20 , 'u')
20. lpad เป็นการเติมตัวอักษรทางขวาให้ครบตามต้องการ เช่น select rpad( first_name , 20 , 'u')
21. trim เป็นการตัดตัวอักษร เช่น SELECT trim ( 'A' from job_id )
22. round การปัดเศษทศนิยม เช่น SELECT ROUND(45.923,2), ROUND(45.923,0)
23. trunc การตัดจุดทศนิยมทิ้ง เช่น SELECT TRUNC(45.923,2), TRUNC(45.923)
24. mod การหารแล้วแสดงค่าเศษที่เหลือ เช่น SELECT last_name, salary, MOD(salary, 5000)
25. to_char , to_date , to_number
26. nvl การแทนค่าลงไปในฟิลด์ที่เป็น null เช่น SELECT last_name, NVL(commission_pct, 0)
27. case ใช้ในลักษณะของ if , then , else
28. decode ใช้ในลักษณะของ if , then , else
29. Cartesian product จะเอา record ของตารางแรกไปคูณกับทุกแถว
2. การต่อข้อมูลของ 2 columns = ____ ||____
3. การต่อข้อมูลของ 2 columns และมีคำคั่นกลาง = ____ || ‘___’ || ____
4. การแสดงข้อมูลของแถวที่ซ้ำกัน ให้แสดงออกมาเพียงแถวเดียว = select distinct _______
5. การใช้ where ต้องอยู่หลัง from เสมอ และสมารถมีเงื่อนไขต่อไปได้
6. เงื่อนไขที่สามารถใช้ร่วมกับ where ได้คือ = , > , >= , < , <= , <>
7. เงื่อนไขที่สามารถใช้ร่วมกับ where ได้อีกคือ between ____ and ____
เงื่อนไขที่สามารถใช้ร่วมกับ where ได้อีกคือ not between ____ and ____
8. เงื่อนไขที่สามารถใช้ร่วมกับ where ได้อีกคือ in ( __ , __ , __ )
9. เงื่อนไขที่สามารถใช้ร่วมกับ where ได้อีกคือ like ‘___’
10. การใช้ AND , OR , NOT หลังจากการใช้ where เพื่อใช้เลือกแบบลงลึกในรายละเอียดมากชึ้น
11. การใช้ NOT หลัง where ส่วนมาก จะใช้ในลักษณะนี้ where job_id not in ('IT_PROG',
'ST_CLERK', 'SA_REP') เป็นต้น
12. การเรียงลำดับโดยการใช้ Order by คือจาก น้อยไปมาก
13. การเรียงลำดับโดยการใช้ Order by ____ desc คือจาก มากไปน้อย
14. การเรียงลำดับสามารถทำได้ หลาย ๆ column โดยใช้ , คั่น
15. concat ต่อตัวอักษร เช่น select concat( first_name , job_id)
16. substr เลือกตัดเอาเฉพาะตัวอักษรที่เราต้องการ เช่น where substr ( job_id , 4 ) = ‘REP’
17. length เป็นการนับจำนวนตัวอักษร เช่น length ( last_name )
18. instr เป็นการนับว่าตัวอักษรนี้อยู่ตำแหน่งที่เท่าไร เช่น instr ( last_name , ‘a’ )
19. lpad เป็นการเติมตัวอักษรทางซ้ายให้ครบตามต้องการ เช่น select lpad( first_name , 20 , 'u')
20. lpad เป็นการเติมตัวอักษรทางขวาให้ครบตามต้องการ เช่น select rpad( first_name , 20 , 'u')
21. trim เป็นการตัดตัวอักษร เช่น SELECT trim ( 'A' from job_id )
22. round การปัดเศษทศนิยม เช่น SELECT ROUND(45.923,2), ROUND(45.923,0)
23. trunc การตัดจุดทศนิยมทิ้ง เช่น SELECT TRUNC(45.923,2), TRUNC(45.923)
24. mod การหารแล้วแสดงค่าเศษที่เหลือ เช่น SELECT last_name, salary, MOD(salary, 5000)
25. to_char , to_date , to_number
26. nvl การแทนค่าลงไปในฟิลด์ที่เป็น null เช่น SELECT last_name, NVL(commission_pct, 0)
27. case ใช้ในลักษณะของ if , then , else
28. decode ใช้ในลักษณะของ if , then , else
29. Cartesian product จะเอา record ของตารางแรกไปคูณกับทุกแถว
วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
เริ่มต้นเข้าใช้งาน Blogger วันแรก
โปรดติดตามข้อมูล บทความต่างๆ ทางด้าน Software Development ได้ที่ครับ
ตั้งแต่ Project Management จนถึง Develop
ตั้งแต่ Project Management จนถึง Develop
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)